บทนำ

ตลาดการเงินเป็นระบบนิเวศ ในระบบนิเวศนี้ มีเฮดจ์ฟันด์ที่อยู่ในจุดสูงสุดของห่วงโซ่อาหาร และมีนักลงทุนรายย่อยที่อยู่ในจุดต่ำสุด; มีผู้เข้าร่วมที่มีขนาดใหญ่เช่นธนาคารกลาง และกลุ่มผู้ค้าที่คล่องตัว มีอัลกอริธึมโปรแกรมการซื้อขายที่มีความก้าวหน้าที่สุด และมีการวิเคราะห์ทางเทคนิคที่ดั้งเดิมจากกลุ่มพื้นฐาน ในระบบนิเวศการเงิน ทุกระดับต่างพัวพันกัน ผู้ชนะไม่จำเป็นต้องชนะเสมอไป และผู้แพ้ก็สามารถพลิกสถานการณ์ได้ ในโลกของการซื้อขายทางการเงิน เต็มไปด้วยความเป็นไปได้และโอกาส

ตลาดฟอเร็กซ์

สำหรับตลาดหุ้นใน CFD สามารถแบ่งออกเป็นการซื้อขายในตลาดและการซื้อขายนอกตลาด โดยทั่วไปแล้วสถาบันขนาดใหญ่จะทำการซื้อขายในตลาด ซึ่งแต่ละธุรกรรมจะมีมูลค่าหลายแสนถึงหลายล้านดอลลาร์ เป็นการซื้อขายโดยตรงระหว่างฝ่ายซื้้อและผู้ขาย ในขณะที่การซื้อขาย CFD ที่นิยมมักจะดำเนินการโดยมีผู้ทำตลาดและแพลตฟอร์มทำหน้าที่เป็นตัวกลางในการซื้อขายมาร์จินนอกตลาด ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบใด ความเป็นจริงของการซื้อขายนั้นไม่เปลี่ยนแปลง นักเทรดที่สามารถตัดสินใจได้ถูกต้องจะทำกำไร ในขณะที่นักเทรดที่ตัดสินใจผิดพลาดจะขาดทุน

ความเชื่อมโยงระหว่างการตัดสินใจและผลลัพธ์

การทำกำไรและขาดทุนขึ้นอยู่กับการที่ตำแหน่งของผู้ค้าตรงกับทิศทางการเคลื่อนที่ของราคาหรือไม่ และทิศทางการเคลื่อนที่ของราคาได้รับผลกระทบจากการต่อสู้ระหว่างพลังของผู้เข้าร่วมในตลาด เมื่อแรงขายและแรงซื้อสมดุล ตลาดจะเข้าสู่แนวโน้มการแกว่งตัว ไม่ว่าจะเป็นตำแหน่งซื้อหรือขายก็ยากที่จะทำกำไรในสภาวะนี้ ตัวเลือกที่ชาญฉลาดที่สุดคือการถอนตัวจากตลาดชั่วคราว รอให้ตลาดออกทิศทางก่อนที่จะกลับเข้ามาอีกครั้ง

ประเภทของผู้เข้าร่วมในตลาด

เมื่อแรงซื้อแข็งแกร่งกว่าแรงขาย ราคาจะเพิ่มขึ้น; ในทางกลับกัน เมื่อแรงขายแข็งแกร่งกว่าแรงซื้อ ราคาตลาดจะลดลง การเปรียบเทียบพลังระหว่างซื้อขายทั้งสองฝ่ายในตลาดขึ้นอยู่กับผู้เข้าร่วมตลาด สำหรับตลาดฟอเร็กซ์ ผู้เข้าร่วมแบ่งออกเป็นหกประเภทหลัก ได้แก่ ธนาคารกลาง ธนาคารฟอเร็กซ์ชั้นนำ เฮดจ์ฟันด์ ธนาคารรองและโบรกเกอร์ สถาบันขนาดเล็กและนักลงทุนรายย่อย และผู้ใช้บริการจริง ในหกประเภทนี้ ธนาคารกลางถือว่าเป็นผู้เข้าร่วมที่มีอำนาจที่สุด การกระทำใดๆ ของพวกเขาสามารถทำให้ราคาตลาดในระยะสั้นผันผวน แต่ไม่มีการรับประกันว่าพวกเขาจะชนะเสมอ ยกตัวอย่างเช่น อัตราแลกเปลี่ยนของประเทศผู้ส่งออกทรัพยากรในปี 2014 แม้ธนาคารกลางจะเข้ามาแทรกแซงก็อาจขาดทุนอย่างรุนแรง

การจัดการความเสี่ยง

ดังนั้นในการซื้อขายในตลาดการเงินจึงเต็มไปด้วยความเสี่ยงและโอกาส และเพื่อที่จะเป็นนักเทรดที่สามารถทำกำไรได้อย่างต่อเนื่อง ผู้ค้าจำเป็นต้องมีความระมัดระวังในเรื่องความเสี่ยงและมีความสามารถในการมองเห็นโอกาสการซื้อขายได้อย่างเฉียบคม ความรู้สึกต่อความเสี่ยงคือบทเรียนแรกที่นักเทรดทุกคนต้องเรียนรู้ การมีความรับรู้ถึงความเสี่ยงที่ยอดเยี่ยมจึงจะสามารถอยู่รอดในตลาดการเงินได้ ไม่ให้หมดทุนเมื่อมีโอกาสเข้ามา ความรับรู้เกี่ยวกับความเสี่ยงถูกสร้างขึ้นจากทุกการซื้อขาย เมื่อเราตัดสินใจเข้าถือตำแหน่งบางอย่าง (เช่น การถือ Long ของ USDJPY) เราต้องวางแผนจุดหยุดขาดทุนและจุดกำไรล่วงหน้าเพื่อจำกัดความเสี่ยงสูงสุดจากบัญชี และสร้างกลไกป้องกันผลกำไรที่อาจเกิดขึ้น

ตัวอย่างการซื้อขาย

ในภาพด้านบนคือการซื้อขายระยะสั้นโดยทำการ Short USDJPY ที่ระดับ 116.60 หลังจากเข้าใส่ตำแหน่ง Short จะตั้งหยุดขาดทุนที่ 117.40 และจุดกำไรที่ 114.20 หากนักลงทุนถือสัญญาแบบมาตรฐาน USDJPY ผลขาดทุนที่อาจเกิดขึ้นคือ 800 ดอลลาร์ และกำไรที่อาจเกิดขึ้นคือ 2400 ดอลลาร์ ในที่สุด ราคาของ USDJPY ได้ไปถึงจุดกำไรที่ตั้งไว้ ทำให้ในธุรกรรมนี้ นักลงทุนทำกำไร 2400 ดอลลาร์

การจัดการความเสี่ยงที่สำคัญ

ในทางเดียวกัน นักลงทุน B ได้ทำการ Long USDJPY หนึ่งล็อตที่ 117.20 โดยตั้งจุดหยุดขาดทุนอยู่ที่ 116.80 สุดท้าย ราคาตลาดลดลงจนไปแตะจุดหยุดขาดทุน ทำให้เขาขาดทุน 400 ดอลลาร์ ถ้านักลงทุนไม่ได้ตั้งจุดหยุดขาดทุนจะทำให้เขามีการขาดทุนมากถึง 100 จุด เป็นเงินจำนวน 1000 ดอลลาร์ ดังนั้น การตั้งจุดหยุดขาดทุนจึงสามารถจำกัดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ และถือเป็นการแสดงให้เห็นถึงความรู้สึกต่อความเสี่ยงของนักเทรด

บทสรุป

การมีสติสัมปชัญญะเกี่ยวกับความเสี่ยงและปกป้องเงินลงทุนของตนเอง เป็นบทเรียนสำคัญที่นักเทรดทุกคนที่เข้าไปในตลาดการเงินต้องเรียนรู้ หากต้องการเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับการเทรดฟอเร็กซ์ สามารถคลิกดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่: IG Trading Training